เครื่องประดับเงินเป็นที่นิยมมาอย่างยาวนาน ด้วยความสวยงามและราคาที่ไม่แพงจนเกินไป ทำให้หลายคนเลือกซื้อเครื่องประดับเงินเป็นของขวัญให้ตัวเองหรือคนที่รัก แต่ในปัจจุบัน เราพบว่ามีเครื่องประดับเงินปลอมวางขายอยู่มากมายในท้องตลาด ทำให้ผู้ซื้อต้องระมัดระวังและรู้จักวิธีสังเกตเครื่องประดับเงินแท้ให้ดี เพื่อไม่ให้ถูกหลอกซื้อของปลอมในราคาแพง
บทความนี้จะแนะนำวิธีดูเครื่องประดับเงินแท้อย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถเลือกซื้อเครื่องประดับเงินได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเงินแท้
เงินแท้ – โลหะมีค่าที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ ได้รับความนิยมในการทำเครื่องประดับมาหลายศตวรรษ ด้วยสีขาวเงินวาวและคุณสมบัติพิเศษหลายประการ ทำให้เงินเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเครื่องประดับที่สวยงามแต่มีราคาไม่สูงเกินไป อย่างไรก็ตาม การเลือกซื้อเครื่องประดับเงินแท้ให้คุ้มค่าจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเงินแท้ เพื่อให้สามารถแยกแยะระหว่างเงินแท้และเงินปลอมได้อย่างมั่นใจ
ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับเงินแท้ให้มากขึ้น เพื่อให้คุณสามารถเลือกซื้อและดูแลเครื่องประดับเงินได้อย่างชาญฉลาด
เงินแท้คืออะไร?
- เงินแท้ หรือที่เรียกว่า “ซิลเวอร์” (Silver) คือ โลหะมีค่าที่มีสัญลักษณ์ทางเคมี Ag และเลขอะตอม 47
- ในตารางธาตุ มีสัญลักษณ์ทางเคมีคือ Ag มาจากคำว่า “Argentum” ในภาษาละติน
- มีสีขาวเงินเป็นเอกลักษณ์ มันวาว และสามารถขัดเงาได้
- เงินบริสุทธิ์ 100% มีความอ่อนนุ่มมาก จึงมักผสมกับโลหะอื่นเพื่อเพิ่มความแข็งแรง
- เงินแท้ที่ใช้ทำเครื่องประดับส่วนใหญ่คือเงินสเตอร์ลิง ซึ่งมีเงินบริสุทธิ์ 92.5% และโลหะอื่น 7.5%
- มีคุณสมบัติการนำไฟฟ้าและความร้อนที่ดีเยี่ยม
- เงินแท้มักมีตราประทับ 925 หรือ Sterling บนเครื่องประดับ
- มีความต้านทานต่อการกัดกร่อนสูง แต่อาจหมองได้เมื่อสัมผัสกับก๊าซซัลเฟอร์ในอากาศ
- เป็นโลหะมีค่าที่มีราคาถูกกว่าทองคำและแพลทินัม ทำให้เป็นที่นิยมในการทำเครื่องประดับ

คุณสมบัติพิเศษของเงินแท้
- สีขาวเงินสวยงาม
- มีความมันวาวสูง สามารถขัดให้เงางามได้ง่าย
- นำไฟฟ้าและความร้อนได้ดีที่สุดในบรรดาโลหะทั้งหมด
- มีความอ่อนตัวสูง สามารถรีดเป็นแผ่นบางหรือดึงเป็นเส้นลวดได้
- จุดหลอมเหลวที่ 78°C (1763.2°F)
- ความหนาแน่น 49 g/cm³ ที่อุณหภูมิห้อง
- มีความอ่อนตัวและยืดหยุ่นสูง สามารถรีดเป็นแผ่นบางหรือดึงเป็นเส้นลวดได้
- มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียตามธรรมชาติ
- ทนต่อการกัดกร่อนในสภาวะปกติ แต่ทำปฏิกิริยากับก๊าซซัลเฟอร์ในอากาศทำให้หมองได้
- มีจุดหลอมเหลวที่ค่อนข้างต่ำ (961.78°C) ทำให้ง่ายต่อการหลอมและขึ้นรูป
- สามารถผสมกับโลหะอื่นเพื่อเพิ่มความแข็งแรงโดยไม่สูญเสียความสวยงาม
- มีความหนาแน่นสูง (10.49 g/cm³) ทำให้รู้สึกมีน้ำหนักเมื่อสัมผัส
- สะท้อนแสงได้ดี ทำให้เหมาะสำหรับใช้ในอุปกรณ์ออปติคอล
- มีความเป็นกลางทางเคมี ไม่ทำปฏิกิริยากับน้ำหรืออากาศในสภาวะปกติ
เงินในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ

ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ เราไม่ใช้เงินบริสุทธิ์ 100% เนื่องจาก:
- มีความอ่อนนิ่มเกินไป
- ไม่คงทนต่อการใช้งานประจำวัน
- ราคาสูงเกินไปสำหรับการทำเครื่องประดับทั่วไป จึงมีการนำโลหะอื่น เช่น ทองแดง มาผสม เพื่อเพิ่มความแข็งแรง
มาตรฐานเงินสเตอร์ลิง (Sterling Silver)
- เป็นมาตรฐานสากลที่ยอมรับกันทั่วโลก
- เงินสเตอร์ลิงประกอบด้วยเงินบริสุทธิ์ 92.5% และโลหะอื่น 7.5% (มักเป็นทองแดง)
- โลหะที่นิยมผสมคือทองแดง เนื่องจากช่วยเพิ่มความแข็งแรงโดยไม่เปลี่ยนสีของเงินมากนัก
- เครื่องประดับเงินแท้ในท้องตลาดส่วนใหญ่เป็นเงินสเตอร์ลิง 5%
- มีมาตรฐานสากลที่ยอมรับกันทั่วโลกในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ
- มักมีตราประทับ “925” หรือ “Sterling” บนเครื่องประดับ
- มีความแข็งแรงและทนทานมากกว่าเงินบริสุทธิ์ เหมาะสำหรับการใช้งานประจำวัน
- รักษาความเงางามได้ดี แต่อาจหมองได้เมื่อสัมผัสกับอากาศเป็นเวลานาน
- มีจุดหลอมเหลวต่ำกว่าเงินบริสุทธิ์ ทำให้ง่ายต่อการขึ้นรูปและซ่อมแซม
- เป็นมาตรฐานที่ใช้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ในประเทศอังกฤษ
- สามารถนำกลับมาหลอมใหม่ได้ ทำให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- มีความยืดหยุ่นพอที่จะรองรับการฝังอัญมณีได้หลากหลายรูปแบบ
- ราคาไม่แพงเกินไป ทำให้เป็นที่นิยมในการทำเครื่องประดับสำหรับคนทั่วไป

เงินที่ใช้ในเครื่องประดับ
- เครื่องประดับเงินชุบ (Silver plated) มักมีตราประทับระบุประเภทของเงินที่ใช้ชุบ เช่น 925 สำหรับเงินสเตอร์ลิง
- เงินบริสุทธิ์มักใช้ในการชุบเงินและทำเครื่องประดับบางประเภท แต่ไม่นิยมใช้ทำเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารเนื่องจากอ่อนเกินไป
- เงินสเตอร์ลิงมีประวัติการใช้งานย้อนไปถึงศตวรรษที่ 10 ถือเป็นโลหะผสมโบราณที่ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน
- โลหะที่นิยมผสมในเงินสเตอร์ลิงคือทองแดง แต่อาจใช้นิกเกิลหรือโลหะอื่นๆ ได้เช่นกัน
- การเกิดคราบดำบนเงินเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติเมื่อสัมผัสกับก๊าซบางชนิดในอากาศ ไม่ได้หมายความว่าเป็นเงินคุณภาพต่ำ
- นักสะสมเครื่องประดับโบราณมักสนใจอัตราส่วนเงินต่อทองในอิเล็กตรัม เพราะสามารถบ่งบอกถึงประวัติและที่มาของชิ้นงานได้
- ในสหรัฐอเมริกา เงินเหรียญถือเป็นปริมาณเงินต่ำสุดที่สามารถทำการตลาดเป็นเงินได้อย่างถูกกฎหมาย
- การเลือกประเภทของเงินในการทำเครื่องประดับขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งาน งบประมาณ และความต้องการด้านความทนทาน
วิธีดูเครื่องประดับเงินแท้ 10 วิธี
1. สังเกตตราประทับ 925 หรือ 92.5

วิธีนี้เป็นวิธีแรกและง่ายที่สุดในการดูเครื่องประดับเงินแท้
- ตราประทับ “925” หรือ “5” บ่งบอกถึงเปอร์เซ็นต์ของเนื้อเงินบริสุทธิ์
- มักอยู่ในจุดที่ไม่เด่นชัด เช่น ด้านในของแหวน หรือบริเวณตะขอของสร้อยคอ
- อาจต้องใช้แว่นขยายช่วยในการมองหา
- นอกจาก “925” อาจพบตราประทับอื่นๆ เช่น:
- “Sterling” หรือ “Ster” สำหรับเงินสเตอร์ลิง
- “999” สำหรับเงินบริสุทธิ์ 9%
- “800” สำหรับเงินที่มีความบริสุทธิ์ 80%
ข้อควรระวัง: การมีตราประทับไม่ได้รับประกัน 100% ว่าเป็นเงินแท้เสมอไป เพราะของปลอมบางชิ้นก็อาจมีการปั๊มตรานี้เช่นกัน
2. ทดสอบน้ำหนักและความหนาแน่น
เงินแท้มีความหนาแน่นสูงกว่าโลหะทั่วไปที่ใช้ทำเครื่องประดับปลอม
วิธีทดสอบ:
- หยิบเครื่องประดับขึ้นมา สังเกตน้ำหนัก ควรรู้สึก “หนักมือ”
- เปรียบเทียบกับเหรียญบาท:
- เครื่องประดับเงินขนาดใกล้เคียงกับเหรียญบาทควรมีน้ำหนักมากกว่า
- เหรียญบาทมีน้ำหนักประมาณ 7 กรัม
- เครื่องประดับเงินขนาดเท่ากันควรมีน้ำหนักประมาณ 5-8 กรัม
- สังเกตความหนา:
- เงินแท้มักหนากว่าเครื่องประดับชุบเงิน
- ตรวจสอบขอบของเครื่องประดับหรือความหนาของตัวเรือนแหวน
- เครื่องประดับเงินแท้ควรมีความหนาอย่างน้อย 1-2 มิลลิเมตร
3. สังเกตสีและความเงางาม
เงินแท้มีสีและความเงางามเฉพาะตัว
ลักษณะของเงินแท้:
- สีขาวเงินสม่ำเสมอ
- มีความเงางามแบบนุ่มนวล ไม่สะท้อนแสงจ้าเกินไป
- เมื่อขัดแล้วจะเงางามเป็นเงาวาว
- ไม่มีสีเหลืองหรือสีเขียวปน
ข้อสังเกต:
- เครื่องประดับชุบเงินหรือเงินปลอมมักมีสีที่ผิดเพี้ยน
- อาจออกเหลืองหรือเขียวเล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อเวลาผ่านไป
- ความเงาอาจดูไม่เป็นธรรมชาติ สะท้อนแสงมากเกินไป
ข้อควรรู้:
- เงินแท้อาจหมองคล้ำได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับอากาศหรือสารเคมีบางชนิด
- การเกิดคราบสีดำบนผิวเครื่องประดับเป็นลักษณะปกติของเงินแท้
- คราบนี้สามารถขัดออกได้ด้วยผ้าขัดเงินโดยเฉพาะ
4. ทดสอบความอ่อนตัว
เงินแท้มีคุณสมบัติอ่อนตัวสูง แต่ไม่อ่อนจนเกินไป
วิธีทดสอบ:
- เลือกส่วนปลายของเครื่องประดับ เช่น ปลายสร้อย หรือขอบแหวน
- ใช้นิ้วบิดเบาๆ อย่างระมัดระวัง
- สังเกตการตอบสนอง:
- เงินแท้จะมีความยืดหยุ่น สามารถบิดงอได้เล็กน้อย
- เมื่อปล่อย ควรกลับคืนรูปได้โดยไม่เสียรูปทรง
- ไม่ควรแข็งกระด้างหรืออ่อนยวบเกินไป
ข้อควรระวัง:
- อย่าใช้แรงมากเกินไป เพราะอาจทำให้เครื่องประดับเสียรูปทรง
- ไม่ควรทำกับเครื่องประดับที่มีราคาแพงหรือมีความสำคัญทางจิตใจ
- เครื่องประดับบางชนิด เช่น แหวนที่มีหัวพลอย อาจไม่เหมาะกับการทดสอบวิธีนี้
5. ใช้แม่เหล็กทดสอบ
เงินเป็นโลหะที่ไม่มีคุณสมบัติแม่เหล็ก
อุปกรณ์ที่ต้องใช้:
- แม่เหล็กที่ค่อนข้างแรง เช่น แม่เหล็กนีโอดิเมียม
วิธีทดสอบ:
- นำแม่เหล็กเข้าใกล้เครื่องประดับเงินในระยะประมาณ 1-2 เซนติเมตร
- เคลื่อนแม่เหล็กไปรอบๆ เครื่องประดับ
- สังเกตปฏิกิริยา:
- ถ้าไม่มีแรงดึงดูดใดๆ เกิดขึ้น แสดงว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นเงินแท้
- หากรู้สึกถึงแรงดึงดูด แม้เพียงเล็กน้อย อาจไม่ใช่เงินแท้ 100%
ข้อควรระวัง:
- เครื่องประดับเงินบางชิ้นอาจมีส่วนประกอบอื่นที่เป็นแม่เหล็ก เช่น ตะขอ หรือบานพับ
- ควรทดสอบหลายๆ จุดบนเครื่องประดับ
- วิธีนี้อาจไม่แม่นยำ 100% สำหรับเครื่องประดับที่มีการชุบหรือเคลือบผิว
6. ทดสอบด้วยกรดไนตริก (ควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญ)
วิธีนี้เป็นวิธีที่แม่นยำมาก แต่ค่อนข้างอันตรายและอาจทำให้เครื่องประดับเสียหาย
อุปกรณ์ที่ต้องใช้:
- กรดไนตริกความเข้มข้น 70%
- แผ่นเซรามิกหรือหินทดสอบ
- อุปกรณ์ป้องกัน เช่น ถุงมือ แว่นตา
วิธีทำ:
- ขูดเครื่องประดับเบาๆ บนแผ่นทดสอบ เพื่อให้ได้ผงโลหะเล็กน้อย
- หยดกรดไนตริกลงบนผงโลหะ
- สังเกตปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น:
- เงินแท้ 5% (Sterling Silver): เกิดฟองฟู่สีครีมหรือสีเทาอ่อน
- เงินที่มีความบริสุทธิ์ต่ำกว่า 5%: เกิดฟองฟู่สีเขียวหรือฟ้า
- ไม่ใช่เงิน: ไม่เกิดปฏิกิริยาใดๆ หรือเกิดฟองฟู่สีเขียวเข้ม
ข้อควรระวัง:
- วิธีนี้ควรทำโดยช่างทองหรือผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
- กรดไนตริกเป็นสารเคมีอันตราย ต้องระมัดระวังในการใช้งาน
- อาจทำให้เกิดรอยบนเครื่องประดับ ไม่เหมาะกับเครื่องประดับที่มีคุณค่าทางจิตใจ
7. ทดสอบด้วยความร้อน
เงินแท้มีคุณสมบัติการนำความร้อนที่ดีเยี่ยม เราสามารถใช้คุณสมบัตินี้ในการทดสอบได้
7.1 วิธีที่ 1: ใช้น้ำแข็ง
อุปกรณ์:
- น้ำแข็งก้อนเล็กๆ 2 ก้อน
- พื้นผิวเรียบ เช่น จาน หรือกระจก
ขั้นตอน:
- วางน้ำแข็งก้อนหนึ่งบนเครื่องประดับเงิน
- วางอีกก้อนบนพื้นผิวเรียบใกล้ๆ กัน
- จับเวลาและสังเกตการละลายของน้ำแข็ง:
- ถ้าเป็นเงินแท้ น้ำแข็งบนเครื่องประดับจะละลายเร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัด
- น้ำแข็งบนเงินแท้ควรละลายเร็วกว่าประมาณ 2-3 เท่า
ข้อควรระวัง:
- อุณหภูมิแวดล้อมอาจมีผลต่อการทดสอบ ควรทำในอุณหภูมิห้องปกติ
- เครื่องประดับที่มีการชุบหรือเคลือบผิวอาจให้ผลไม่แม่นยำ
7.2 วิธีที่ 2: ใช้ไฟ (ควรทำด้วยความระมัดระวัง)
อุปกรณ์:
- ไฟแช็คหรือตะเกียงขนาดเล็ก
- คีมจับเครื่องประดับ
- ภาชนะใส่น้ำเย็น
ขั้นตอน:
- ใช้คีมจับเครื่องประดับ
- ใช้ไฟแช็คหรือตะเกียงเผาเครื่องประดับเงินจนร้อนแดง (ประมาณ 5-10 วินาที)
- ปล่อยให้เย็นลงในอากาศ หรือจุ่มลงในน้ำเย็นทันที
- สังเกตสี:
- เงินแท้จะกลับมามีสีขาวเงินเหมือนเดิม ไม่มีคราบดำหรือสีอื่นติดอยู่
- เงินเคลือบหรือเงินปลอมอาจเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง น้ำตาล หรือมีคราบดำ
ข้อควรระวัง:
- วิธีนี้ค่อนข้างเสี่ยงและอาจทำให้เครื่องประดับเสียหายได้
- ไม่แนะนำให้ทำกับเครื่องประดับที่มีค่าหรือมีความสำคัญทางจิตใจ
- ควรระวังการเผาไหม้จากความร้อน
8. สังเกตการเกิดคราบ
เงินแท้มีคุณสมบัติทำปฏิกิริยากับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในอากาศ ทำให้เกิดคราบดำที่เรียกว่า “ทารน์นิช” (Tarnish)
อุปกรณ์:
- ผ้าขาวสะอาด ไม่มีสี
- น้ำอุ่น
- สบู่อ่อน (ถ้าจำเป็น)
วิธีทดสอบ:
- ทำความสะอาดเครื่องประดับด้วยน้ำอุ่นและสบู่อ่อน (ถ้าจำเป็น)
- เช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด
- ใช้ผ้าขาวสะอาดอีกผืนเช็ดถูเครื่องประดับเงินเบาๆ
- สังเกตสีที่ติดบนผ้า:
- หากมีคราบสีดำหรือสีเทาเข้มติดบนผ้า แสดงว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นเงินแท้
- ถ้าเป็นสีเขียวหรือสีอื่นๆ อาจเป็นโลหะชนิดอื่นหรือเงินเคลือบ
ข้อควรรู้:
- วิธีนี้อาจไม่เหมาะกับเครื่องประดับเงินใหม่ที่ยังไม่เกิดคราบ
- เครื่องประดับที่ผ่านการชุบเคลือบผิวมาแล้วอาจไม่แสดงผลที่ชัดเจน
- การเกิดคราบไม่ได้หมายความว่าเครื่องประดับนั้นด้อยคุณภาพ แต่เป็นลักษณะธรรมชาติของเงินแท้
9. ตรวจสอบด้วยเครื่องวิเคราะห์โลหะ
ในปัจจุบัน มีเครื่องมือทันสมัยที่สามารถวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของโลหะได้อย่างแม่นยำ
เครื่องมือที่ใช้:
- เครื่อง XRF (X-ray fluorescence)
- เครื่องวิเคราะห์โลหะแบบพกพา
ข้อดีของการใช้เครื่องวิเคราะห์:
- แม่นยำสูง สามารถบอกเปอร์เซ็นต์ของเงินได้ละเอียด
- ไม่ทำลายชิ้นงาน
- ใช้เวลาทดสอบเพียงไม่กี่วินาที
- สามารถตรวจสอบโลหะอื่นๆ ที่ผสมอยู่ได้ด้วย
วิธีการตรวจสอบ:
- นำเครื่องประดับไปที่ร้านรับซื้อทอง หรือห้องปฏิบัติการวิเคราะห์โลหะมีค่า
- เจ้าหน้าที่จะใช้เครื่อง XRF สแกนเครื่องประดับ
- ผลการวิเคราะห์จะแสดงเปอร์เซ็นต์ของเงินและโลหะอื่นๆ ที่ผสมอยู่
ข้อควรรู้:
- บริการนี้อาจมีค่าใช้จ่าย แต่คุ้มค่าสำหรับเครื่องประดับราคาแพง
- ผลการวิเคราะห์มักได้รับการยอมรับในวงการซื้อขายเครื่องประดับ
10. ซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้
วิธีที่ดีที่สุดในการได้เครื่องประดับเงินแท้ คือการเลือกซื้อจากร้านที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือ
ลักษณะของร้านที่น่าเชื่อถือ:
- มีหน้าร้านถาวร หรือเว็บไซต์ที่ได้มาตรฐาน
- มีใบรับรองคุณภาพสินค้า
- ให้การรับประกันสินค้า
- มีนโยบายคืนสินค้าที่ชัดเจน
- มีบริการหลังการขาย เช่น การทำความสะอาด หรือซ่อมแซม
ข้อควรระวังเมื่อซื้อเครื่องประดับเงิน:
- หลีกเลี่ยงการซื้อจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่น ตลาดนัดทั่วไป หรือร้านค้าออนไลน์ที่ไม่มีตัวตน
- ระวังราคาที่ถูกเกินไป เพราะเงินแท้มีต้นทุนสูง ราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดมากอาจเป็นสัญญาณของสินค้าปลอม
- อย่าเชื่อคำโฆษณาที่เกินจริง เช่น “เงินแท้ 100%” หรือ “ไม่มีวันดำ” เพราะเงินแท้ก็สามารถหมองได้เมื่อเวลาผ่านไป
- ตรวจสอบนโยบายการรับประกันและการคืนสินค้าให้ชัดเจนก่อนซื้อ
การดูแลรักษาเครื่องประดับเงินแท้
เมื่อคุณได้เครื่องประดับเงินแท้มาแล้ว การดูแลรักษาอย่างถูกวิธีจะช่วยให้เครื่องประดับของคุณสวยงามและใช้งานได้ยาวนาน
วิธีทำความสะอาดประจำวัน:
- ล้างด้วยน้ำอุ่น:
- ใช้น้ำอุ่นไม่ร้อนจัด (ประมาณ 30-40°C)
- เติมสบู่อ่อนๆ เล็กน้อย
- แช่เครื่องประดับประมาณ 5-10 นาที
- ขัดเบาๆ ด้วยแปรงขนนุ่ม:
- ใช้แปรงสีฟันเก่าหรือแปรงทำความสะอาดเครื่องประดับโดยเฉพาะ
- ขัดเบาๆ ตามซอกมุมต่างๆ
- ล้างออกด้วยน้ำสะอาด:
- ใช้น้ำไหลผ่านเพื่อชำระคราบสบู่ออกให้หมด
- เช็ดให้แห้ง:
- ใช้ผ้านุ่มที่ไม่เป็นขุย เช่น ผ้าไมโครไฟเบอร์
- เช็ดให้แห้งสนิททุกซอกทุกมุม
วิธีกำจัดคราบหมอง:
- ใช้ผ้าขัดเงินโดยเฉพาะ:
- มีจำหน่ายตามร้านเครื่องประดับทั่วไป
- ขัดเบาๆ จนคราบหมองหายไป
- ใช้ยาสีฟันแบบครีม (ไม่มีสารขัดสีฟัน):
- ทายาสีฟันบางๆ บนเครื่องประดับ
- ใช้ผ้านุ่มหรือแปรงสีฟันขัดเบาๆ
- ล้างออกด้วยน้ำสะอาดและเช็ดให้แห้ง
- แช่ในน้ำผสมเบกกิ้งโซดา:
- ผสมเบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำอุ่น 1 ถ้วย
- แช่เครื่องประดับประมาณ 2-3 ชั่วโมง
- ล้างออกด้วยน้ำสะอาดและเช็ดให้แห้ง
ข้อควรระวังในการดูแลรักษา:
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมี: ถอดเครื่องประดับเงินออกเมื่อทำความสะอาดบ้าน ว่ายน้ำ หรือใช้เครื่องสำอาง เพราะสารเคมีอาจทำให้เงินหมองได้
- หลีกเลี่ยงการขัดแรงๆ: การขัดแรงเกินไปอาจทำให้ผิวเงินเป็นรอยหรือบางลงได้
- พักการใส่: สลับเครื่องประดับที่ใส่ ไม่ควรใส่ชิ้นเดียวติดต่อกันนานๆ เพื่อลดการสึกหรอ
- เก็บให้ถูกวิธี:
- เก็บในกล่องหรือถุงผ้าที่ปิดสนิท
- แยกเก็บแต่ละชิ้นเพื่อป้องกันการขูดขีด
- ใช้ซิลิกาเจลช่วยดูดความชื้น
- เก็บในที่แห้ง อุณหภูมิห้องปกติ
- ใช้น้ำยาเคลือบเงิน: มีจำหน่ายตามร้านเครื่องประดับ ช่วยป้องกันการหมองและรอยขีดข่วน
- ตรวจสอบและซ่อมแซมเป็นประจำ: นำไปให้ช่างตรวจสอบปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
ข้อดีและข้อเสียของเครื่องประดับเงินแท้
ข้อดี |
ข้อเสีย |
1. สวยงาม: สีขาวเงินเป็นเอกลักษณ์, เข้ากับทุกสีผิว | 1. หมองง่าย: ต้องดูแลรักษาสม่ำเสมอ |
2. ราคาไม่แพง: ประมาณ 1/50 – 1/100 ของทองคำ | 2. อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ในบางคน |
3. ทนทาน: แข็งแรงกว่าทองคำ (2.5-3 บนสเกลโมห์) | 3. อ่อนตัว: อาจบิดงอหรือเสียรูปทรงได้ง่าย |
4. หาซื้อง่าย: มีจำหน่ายทั่วไป | 4. ราคาไม่สูงเท่าทองคำ: ผลตอบแทนการลงทุนต่ำกว่า |
5. มูลค่าคงที่: ราคาในตลาดโลกค่อนข้างมีเสถียรภาพ | 5. ต้องการการดูแลพิเศษ: ต้องเก็บในที่แห้งและมิดชิด |
6. คุณสมบัติพิเศษ: นำไฟฟ้าและความร้อนได้ดี, ต้านเชื้อแบคทีเรีย | 6. อาจมีการปลอมแปลง: ต้องระวังในการเลือกซื้อ |
7. เหมาะกับผู้แพ้ง่าย: ทางเลือกสำหรับผู้แพ้นิกเกิล | 7. ข้อจำกัดในการออกแบบ: ไม่เหมาะกับการฝังอัญมณีขนาดใหญ่ |

สรุป
การเลือกซื้อเครื่องประดับเงินแท้ไม่ใช่เรื่องยาก หากคุณรู้วิธีสังเกตและตรวจสอบอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการดูตราประทับ สังเกตน้ำหนักและสี หรือใช้วิธีทดสอบต่างๆ ที่เราได้แนะนำไป อย่างไรก็ตาม วิธีที่ดีที่สุดคือการซื้อจากร้านที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือ
เมื่อคุณได้เครื่องประดับเงินแท้มาแล้ว อย่าลืมดูแลรักษาอย่างถูกวิธี เพื่อให้เครื่องประดับของคุณสวยงามและใช้งานได้ยาวนาน เครื่องประดับเงินแท้อาจไม่ได้มีราคาแพงเท่าทองคำ แต่ก็มีเสน่ห์และความงามเฉพาะตัวที่ไม่มีวันตกยุค เป็นของขวัญที่มีค่าสำหรับตัวเองและคนที่คุณรัก
ไม่ว่าคุณจะเลือกซื้อเครื่องประดับเงินแท้เพื่อใส่เอง หรือเพื่อเป็นของขวัญ การรู้วิธีดูเครื่องประดับเงินแท้จะช่วยให้คุณได้ของดีมีคุณภาพ คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป และสามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกังวลว่าจะได้ของปลอมหรือของคุณภาพต่ำ
สุดท้ายนี้ อย่าลืมว่าเครื่องประดับไม่ได้มีค่าแค่ราคา แต่ยังมีค่าทางจิตใจด้วย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับชิ้นเล็กหรือใหญ่ ราคาถูกหรือแพง ตราบใดที่คุณชอบและมีความสุขที่ได้สวมใส่ นั่นก็คือเครื่องประดับที่มีค่าที่สุดสำหรับคุณแล้ว