ในโลกของเครื่องประดับ เงินแท้ 925 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เงินสเตอร์ลิง” เป็นที่นิยมอย่างมากด้วยความสวยงามและคุณค่าที่มี แต่ด้วยความแพร่หลายนี้เอง ทำให้เกิดการปลอมแปลงและการหลอกขายสินค้าคุณภาพต่ำในท้องตลาด การรู้จักวิธีดูเงินแท้ 925 จึงเป็นทักษะสำคัญสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเครื่องประดับเงิน ไม่ว่าจะเป็นนักสะสม ผู้ค้า หรือผู้บริโภคทั่วไป

เงินแท้ 925 คืออะไร
เงินแท้ 925 คือ เงินที่เรียกว่าเงินสเตอร์ลิง (Sterling Silver) เป็นโลหะผสมที่มีความสำคัญในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ ต่อไปนี้เป็นคำอธิบายโดยละเอียดเกี่ยวกับเงินแท้ 925:
- องค์ประกอบ:
- เงินแท้ 925 ประกอบด้วยเงินบริสุทธิ์ 5% และโลหะอื่น 7.5%
- โลหะที่นิยมผสมมากที่สุดคือทองแดง เนื่องจากช่วยเพิ่มความแข็งแรงโดยไม่เปลี่ยนสีของเงินมากนัก
- บางครั้งอาจมีการผสมโลหะอื่น เช่น สังกะสีหรือนิกเกิล เพื่อเพิ่มคุณสมบัติเฉพาะ
- ประวัติและมาตรฐาน:
- มาตรฐานเงินสเตอร์ลิง 925 มีประวัติย้อนไปถึงศตวรรษที่ 12 ในประเทศอังกฤษ
- เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกสำหรับเครื่องประดับเงินคุณภาพสูง
- ในหลายประเทศ การใช้คำว่า “Sterling” หรือ “925” บนเครื่องประดับเงินถูกควบคุมโดยกฎหมาย
- คุณสมบัติทางกายภาพ:
- สีขาวเงินเป็นเอกลักษณ์ มีความมันวาวสูง
- มีความแข็งประมาณ 5-3 บนสเกลของโมห์ แข็งกว่าเงินบริสุทธิ์แต่อ่อนกว่าเหล็ก
- มีจุดหลอมเหลวที่ประมาณ 893°C (1,640°F)
- นำไฟฟ้าและความร้อนได้ดีเยี่ยม
- การใช้งาน:
- นิยมใช้ในการทำเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ต่างหู กำไล
- ใช้ในการทำเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร เช่น ช้อน ส้อม มีด
- ใช้ในงานศิลปะและงานหัตถกรรม
- มีการใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และการแพทย์
- ข้อดี:
- แข็งแรงและทนทานกว่าเงินบริสุทธิ์
- รักษาความเงางามได้ดี
- ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับทองคำหรือแพลทินัม
- มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียตามธรรมชาติ
- สามารถขึ้นรูปและแกะสลักได้ง่าย
- ข้อเสีย:
- อาจเกิดคราบหมอง (Tarnish) เมื่อสัมผัสกับก๊าซซัลเฟอร์ในอากาศ
- อ่อนกว่าโลหะบางชนิด เช่น ทองคำขาวหรือแพลทินัม
- อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ในบางคนที่แพ้ทองแดง
- การดูแลรักษา:
- ต้องทำความสะอาดเป็นประจำเพื่อป้องกันการเกิดคราบหมอง
- ควรเก็บในที่แห้งและมิดชิดเมื่อไม่ได้ใช้งาน
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมีรุนแรง เช่น คลอรีนหรือน้ำยาทำความสะอาด
- การตรวจสอบความแท้:
- มักมีตราประทับ “925” หรือ “Sterling” บนเครื่องประดับ
- สามารถตรวจสอบด้วยวิธีทางเคมี เช่น การทดสอบด้วยกรดไนตริก
- เครื่องมือทันสมัย เช่น เครื่อง XRF สามารถวิเคราะห์องค์ประกอบได้อย่างแม่นยำ
- มูลค่าและการลงทุน:
- ราคาขึ้นอยู่กับราคาเงินในตลาดโลกและค่าแรงในการผลิต
- มักมีมูลค่าสูงกว่าราคาวัตถุดิบเนื่องจากค่าแรงฝีมือ
- ไม่นิยมใช้เป็นการลงทุนระยะยาวเหมือนทองคำ แต่มีมูลค่าคงที่พอสมควร
- ความแตกต่างจากเงินชนิดอื่น:
- เงิน 999 (99.9% บริสุทธิ์) อ่อนกว่าและไม่เหมาะสำหรับเครื่องประดับใช้งานประจำวัน
- เงิน 800 (80% บริสุทธิ์) แข็งแรงกว่าแต่มีคุณค่าและความงามน้อยกว่า
- เงินชุบ (Silver plated) มีเพียงชั้นบางๆ ของเงินเคลือบบนโลหะอื่น ไม่ทนทานเท่าเงิน 925
เงินแท้ 925 จึงเป็นทางเลือกที่สมดุลระหว่างความสวยงาม ความทนทาน และราคา ทำให้เป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมเครื่องประดับทั่วโลก
วิธีดูเงินแท้ 925 อย่างละเอียด
1.สังเกตตราประทับ:

- มองหาตรา “925”, “Sterling”, “S925” หรือ “.925” บนเครื่องประดับ
- ตราประทับมักอยู่ในจุดที่ไม่เด่นชัด เช่น ด้านในของแหวน หรือบริเวณตะขอของสร้อยคอ
- ใช้แว่นขยายกำลังขยาย 10x เพื่อช่วยในการมองเห็นตราประทับขนาดเล็ก
2.ตรวจสอบน้ำหนัก:
- เงินแท้มีความหนาแน่น 49 g/cm³ ซึ่งมากกว่าโลหะทั่วไป
- เครื่องประดับเงินขนาดใกล้เคียงกับเหรียญบาทควรมีน้ำหนักประมาณ 5-8 กรัม
- เปรียบเทียบกับเหรียญบาทที่มีน้ำหนักประมาณ 7 กรัม
3.สังเกตสีและความเงา:
- มีสีขาวเงินสม่ำเสมอ โดยไม่มีสีเหลืองหรือสีเขียวปน
- เงางามแบบนุ่มนวล ไม่สะท้อนแสงจ้าเกินไป
- เมื่อขัดแล้วจะเงางามเป็นเงาวาว สามารถเห็นเงาสะท้อนได้ชัดเจน
4.ทดสอบความอ่อนตัว:
- เงินแท้มีความแข็งประมาณ 5-3 บนสเกลของโมห์
- สามารถบิดงอได้เล็กน้อยโดยไม่แตกหัก
- ใช้แรงกดเบาๆ ด้วยเล็บ ควรเห็นรอยบุ๋มเล็กน้อยที่สามารถขัดออกได้
5.ใช้แม่เหล็กทดสอบ:

- ใช้แม่เหล็กนีโอดิเมียมที่มีความแรงอย่างน้อย N52
- นำแม่เหล็กเข้าใกล้เครื่องประดับในระยะประมาณ 1-2 เซนติเมตร
- เงินแท้จะไม่ถูกดูดติดกับแม่เหล็ก แต่อาจแสดงคุณสมบัติไดอาแมกเนติกเล็กน้อย
6.สังเกตการเกิดคราบ:
- เงินแท้จะเกิดคราบดำ (ทาร์นิช) เมื่อสัมผัสกับอากาศที่มีก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์
- คราบมักเกิดขึ้นภายใน 2-6 เดือนหลังจากการใช้งานปกติ
- ใช้ผ้าขาวสะอาดเช็ดถูเบาๆ หากมีคราบสีดำหรือเทาเข้มติดบนผ้า แสดงว่าเป็นเงินแท้
7.ทดสอบการนำความร้อน:

- เงินแท้มีค่าการนำความร้อนสูงถึง 429 W/(m·K)
- วางน้ำแข็งก้อนเล็กบนเครื่องประดับเงิน ควรละลายเร็วกว่าบนพื้นผิวอื่นประมาณ 2-3 เท่า
- ใช้ไฟแช็คเผาเครื่องประดับจนร้อนแดง (ประมาณ 5-10 วินาที) แล้วปล่อยให้เย็นลง เงินแท้จะกลับมามีสีขาวเงินเหมือนเดิม
8.ตรวจสอบความหนา:
- เครื่องประดับเงินแท้มักมีความหนาอย่างน้อย 1-2 มิลลิเมตร
- ใช้เวอร์เนียคาลิปเปอร์วัดความหนาของขอบแหวนหรือส่วนที่หนาที่สุดของเครื่องประดับ
- เครื่องประดับที่บางกว่า 5 มิลลิเมตรมีโอกาสสูงที่จะเป็นเงินชุบ
9.ทดสอบด้วยกรดไนตริก (ควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญ):
- ใช้กรดไนตริกความเข้มข้น 70%
- หยดกรดลงบนรอยขูดเล็กๆ บนเครื่องประดับ
- เงินแท้ 5% จะเกิดฟองฟู่สีครีมหรือเทาอ่อน
- เงินที่มีความบริสุทธิ์ต่ำกว่า 5% จะเกิดฟองฟู่สีเขียวหรือฟ้า
10.ซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้:
- เลือกร้านที่มีประวัติการดำเนินธุรกิจอย่างน้อย 5 ปี
- ตรวจสอบใบรับรองคุณภาพสินค้าที่ระบุความบริสุทธิ์ 5%
- สังเกตนโยบายการรับประกันสินค้า ควรมีระยะเวลารับประกันอย่างน้อย 30 วัน
- ตรวจสอบบริการหลังการขาย เช่น การทำความสะอาดฟรี หรือซ่อมแซมตลอดอายุการใช้งาน
11.การทดสอบด้วยเสียง:
- เคาะเบาๆ ด้วยเหรียญหรือวัตถุโลหะอื่น
- เงินแท้จะมีเสียงกังวานยาวนานกว่า (ประมาณ 1-2 วินาที) เมื่อเทียบกับโลหะทั่วไป
- ความถี่เสียงของเงินแท้อยู่ที่ประมาณ 6,000-7,000 Hz
12.การทดสอบด้วยน้ำยาฟอกขาว:
- หยดน้ำยาฟอกขาวลงบนเครื่องประดับเงิน
- เงินแท้จะไม่เปลี่ยนสีหรือเกิดปฏิกิริยาใดๆ
- โลหะอื่นๆ อาจเปลี่ยนสีหรือเกิดฟองฟู่
13.การใช้เครื่อง XRF (X-ray fluorescence):
- เครื่อง XRF สามารถวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีได้อย่างแม่นยำ
- สามารถตรวจสอบเปอร์เซ็นต์ของเงินได้ละเอียดถึง 01%
- ใช้เวลาในการวิเคราะห์เพียง 10-30 วินาที
14.การสังเกตรอยต่อและการเชื่อม:

- เครื่องประดับเงินแท้มักมีรอยต่อและการเชื่อมที่เรียบเนียน
- ใช้แว่นขยายกำลังขยาย 20x ตรวจสอบรอยต่อ
- รอยเชื่อมควรมีสีเดียวกับเนื้อเงินโดยรอบ
15.การทดสอบด้วยครีมขัดเงิน:
- ใช้ครีมขัดเงินเฉพาะทาลงบนเครื่องประดับ
- ขัดเบาๆ ด้วยผ้านุ่ม
- เงินแท้จะกลับมาเงางามอย่างรวดเร็ว ภายใน 10-15 วินาที
16.การตรวจสอบความต้านทานไฟฟ้า:
- เงินแท้มีค่าความต้านทานไฟฟ้าต่ำมาก (87 nΩ·m ที่ 20°C)
- ใช้มัลติมิเตอร์วัดค่าความต้านทาน
- เงินแท้ควรมีค่าความต้านทานต่ำกว่า 1 โอห์ม สำหรับความยาว 1 เซนติเมตร
17.การทดสอบด้วยน้ำ:
- เงินแท้มีคุณสมบัติไม่ชอบน้ำ (hydrophobic)
- หยดน้ำลงบนผิวเงินแท้ น้ำจะเกาะตัวกันเป็นหยดกลมๆ
- บนโลหะอื่น น้ำมักจะแผ่กระจายออก
18.การตรวจสอบด้วยแสง UV:
- ใช้ไฟ UV ความยาวคลื่น 365 นาโนเมตร ส่องที่เครื่องประดับ
- เงินแท้จะเรืองแสงสีฟ้าอ่อนๆ
- โลหะอื่นๆ อาจไม่เรืองแสงหรือเรืองแสงสีอื่น
19.การทดสอบความยืดหยุ่น:
- เงินแท้ 925 มีค่าโมดูลัสยืดหยุ่นประมาณ 71 GPa
- ทดสอบโดยการดัดเบาๆ แล้วปล่อย
- เงินแท้ควรกลับคืนรูปเดิมได้โดยไม่เสียรูปทรงถาวร
20.การตรวจสอบด้วยเลเซอร์:
- ใช้เครื่อง Laser-Induced Breakdown Spectroscopy (LIBS)
- สามารถวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีได้โดยไม่ทำลายชิ้นงาน
- ให้ผลการวิเคราะห์ภายใน 1-2 นาที
21.การสังเกตพฤติกรรมการหมอง:
- เงินแท้จะหมองช้ากว่าเงินชุบหรือโลหะอื่น
- สังเกตการเกิดคราบหมองหลังจากใช้งาน 2-3 เดือน
- เงินแท้ควรหมองอย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งชิ้น ไม่เป็นหย่อมๆ
22.การตรวจสอบความเป็นเนื้อเดียวกัน:
- ใช้กล้องจุลทรรศน์กำลังขยาย 50-100 เท่า
- สังเกตเนื้อโลหะ เงินแท้ควรมีลักษณะเนื้อเดียวกันทั่วทั้งชิ้น
- ไม่ควรเห็นชั้นของการชุบหรือเคลือบผิว
การใช้วิธีเหล่านี้ร่วมกับวิธีที่กล่าวไปก่อนหน้า จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตรวจสอบความแท้ของเงิน 925 ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม วิธีที่ซับซ้อนบางอย่างอาจต้องอาศัยเครื่องมือพิเศษและความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ดังนั้น สำหรับเครื่องประดับที่มีมูลค่าสูง การตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญหรือห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานยังคงเป็นวิธีที่น่าเชื่อถือที่สุด